เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๘ พ.ย. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม สัจธรรม เห็นไหม เขาบอกว่า ธรรมะร่มเย็น ธรรมะร่มเย็นเป็นสุข ธรรมะชโลมโลก โลกจะอยู่ได้ด้วยศีลด้วยธรรม

คำว่า “อยู่ได้ด้วยศีลด้วยธรรม” มันสัจธรรมเข้าหัวใจนะ สิ่งที่เข้าหัวใจ เวลาฟังเทศน์ๆ ฟังเทศน์เพื่อสะเทือนกิเลส เวลากิเลส กิเลสมันอ้างธรรมะขึ้นมา มันก็อ้างธรรมะเหมือนกัน เวลากิเลสบังเงาๆ เอาธรรมะมาอ้างอิงกัน เวลาอ้างอิงกันแล้วเราแยกไม่ออกว่าสิ่งใดเป็นธรรม สิ่งใดไม่เป็นธรรม

คำว่า “สิ่งใดเป็นธรรม สิ่งใดไม่เป็นธรรม” ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ เห็นไหม ถ้าธรรมชาติให้ความร่มเย็นเป็นสุขนั่นเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ถ้าธรรมชาติมันเกิดสึนามิ เกิดวาตภัย ธรรมชาตินั้นก็เป็นธรรมชาติที่ทำลายให้เราทุกข์เรายากเหมือนกัน

ฉะนั้น หัวใจของคนถ้ามันมีหลักมีเกณฑ์ คำว่า “มีหลักมีเกณฑ์” เริ่มต้นจากว่าจิตใจเราเป็นสาธารณะ เราเห็นสังคมแล้วเราช่วยเหลือเจือจานเขา เราไม่เอารัดเอาเปรียบเขา ดูสิ พ่อแม่มีความเมตตา ความรักของพ่อแม่เป็นความรักที่สะอาดบริสุทธิ์ไง ลูกจะเกิดมาขนาดไหนพ่อแม่ก็รักลูกทั้งนั้นน่ะ ความรักของพ่อแม่เป็นความรักที่สะอาดบริสุทธิ์ไง

แต่ความเมตตาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนดั่งดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ เวลาฉายแสงลงมาในโลกนี้ ไม่มีบ้านคนรวย คนจน บ้านคนทุกข์ คนมีความสุข เสมอภาคกันๆ คำว่า “เสมอภาค” อันนั้นเพราะว่าจิตใจท่านเป็นธรรม จิตใจท่านเป็นธรรมนะ สัจธรรม ท่านอยากรื้อสัตว์ขนสัตว์ ถ้าอยากรื้อสัตว์ขนสัตว์ สัจธรรมอันนี้เข้ามาในหัวใจของเรา ศีล สมาธิ ปัญญา

ถ้าศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาที่เกิดจากภาวนามยปัญญา ปัญญามันชำระล้างกิเลส ปัญญามันถอดถอนอันนั้น ศาสนาพุทธศาสนาแห่งภาวนามยปัญญา ปัญญาอันนั้นปัญญาเลอเลิศ แต่ปัญญาของเราเป็นสัญญา ปัญญาของเรามันเจือด้วยอวิชชา ด้วยกิเลส

เวลาฟังธรรมๆ เริ่มต้นจากวุฒิภาวะที่มันอ่อนด้อย เวลาเรามีความขุ่นข้องหมองใจของเรา ถ้าเราได้มีผู้ใหญ่ตักเตือน ให้ธรรมเป็นทานๆ ให้ธรรมเป็นทานคือสัจจะ คือความจริง คือวิชาการ ถ้าเราให้วิชาการกับเด็กๆ เด็กๆ อะไรถูกต้องดีงาม คัดแยกให้เป็น ถ้าเด็กๆ มันคัดแยกไม่ได้ว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด มันทำไปโดยความไร้เดียงสา อันนั้นมันจะเป็นธรรมไหมล่ะ มันก็ไม่เป็นธรรม เพราะอะไร เพราะมันขาดสติมันขาดปัญญาที่รู้แจ้ง ถ้ามันปัญญารู้แจ้ง มันจะเข้าใจได้เลยว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก สิ่งใดควรและสิ่งใดไม่ควร

ถ้าสิ่งใดที่ไม่ควร เราไม่ควรทำเลย สิ่งใดทำแล้วเสียใจภายหลัง สิ่งนั้นไม่ดีเลย สิ่งนั้นไม่ดีเลย แต่เวลาทำไป เรามีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน ถ้าเรามีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน ให้ธรรมเป็นทานๆ ให้ธรรมคือให้ทางวิชาการ ถ้าให้วิชาการแล้วให้ธรรมเป็นทาน แต่เวลาให้ธรรมเป็นทานแล้ว เราได้รับมาแล้ว เรามีความจริงมากน้อยแค่ไหน ถ้าเรามีความจริงมากน้อยแค่ไหน เห็นไหม จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง

เวลาหลวงตาท่านสงสัยมาก เวลาท่านประพฤติปฏิบัตินะ สงสัยถึงหลวงปู่แหวน “เราสู้ๆ” มันมีแต่เกียรติศัพท์เกียรติคุณเรื่องเหรียญ เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านก็แปลกใจว่าหลวงปู่แหวนท่านก็อยู่มากับหลวงปู่มั่น ท่านถึงพยายามขวนขวายไปหาหลวงปู่แหวน มีโอกาสก็เข้าไปถามท่าน เข้าไปถามท่าน ถามปัญหาข้อแรกไป ท่านตอบมา ๑๕ นาที ถามข้อที่สอง ท่านตอบอีก ๔๕ นาที โอ๋ย! ตอบเต็มที่เลย

แล้วออกมาเต็มที่เลย พอออกมาเต็มที่แล้วก็ถามมา “มหามีอะไรสงสัยไหม ถ้ามีอะไรสงสัย ค้านมา”

“ผมไม่สงสัยหรอกครับ ผมหาฟังธรรมแบบนี้ ผมหาข้อเท็จจริงแบบนี้”

ข้อเท็จจริงแบบนี้มันอยู่ในใจของหลวงปู่แหวน เพราะหลวงปู่แหวนเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น แต่เวลาญาติโยมที่ไปหา เขาไม่ไปหาสัจธรรมอันนี้ เขาไม่หาคุณธรรมอันนี้ เขาไปหาเหรียญ เขาไปหาเหรียญ เขาไปหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์กัน นี่วุฒิภาวะของคนมันเข้าไม่ถึงเอง ถ้าเข้าไม่ถึง แต่ท่านก็สงสัยอยู่ เวลาสงสัย เห็นไหม นี่เวลาท่านมีความจริงในหัวใจอันนั้น สิ่งที่สัจจะความจริงอันนั้น แต่ในเมื่อโลกเขาหวังพึ่งแค่นี้ เขาหวังพึ่ง “เราสู้ๆ” เราสู้ก็เราสู้ แต่สัจธรรมความจริงไง

ถ้าสัจจะความจริง ถ้าจิตใจของครูบาอาจารย์ของเราท่านสงสัย หลวงตาท่านสงสัย ท่านก็ขึ้นไปสนทนาธรรมกับท่าน พอมันเปิดก๊อก เปิดธรรมนั้น สัจธรรมออกมา มันก็อันเดียวกัน อันเดียวกัน แต่เราสิ เราแยกแยะไม่ได้ เราแยกไม่ถูกว่าสิ่งใดมันถูกต้องหรือไม่ถูกต้องไง ถ้าไม่ถูกต้อง เขาถึงวัดกันตรงนี้ ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ การกระทำของเราจะถูกต้องดีงามหรือไม่ การถูกต้องดีงามของเรา เราพอใจของเราไง เราว่าเราถูกต้องดีงามไง แต่เวลาเขาวัดกัน เขาวัดด้วยศีล ๕

ศีล ๕ นะ เราไม่เบียดเบียนกัน ปานาติปาตา คือเราไม่ฆ่าสัตว์ แต่ถ้าพระกรรมฐานนะ เขาไม่เบียดเบียนกัน การเบียดเบียนกัน การพูดจาถากถางกัน นั่นคือทำร้ายกันแล้ว

เราไม่หยิบฉวยของใคร เราไม่หยิบต้องของใครด้วยการลักขโมย

เราไม่ผิดครอบครัวลูกเมียของใคร แต่ครอบครัวของเรา นี่ศีล ๕

เราไม่โกหกมดเท็จ

เราไม่อยู่กับของมึนเมา

นี่ศีล ๕ ศีล ๕ เป็นเครื่องวัดไง วัดว่าความดีของเรา ใครก็ว่าทำคุณงามความดี ใครก็ว่าเป็นธรรมๆ มันธรรมถูกต้องตรงไหน วัดกันด้วยศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗

ถ้าศีล ศีลคืออะไร? ศีลคือรั้วกั้น รั้วกั้นให้ใจมันสงบเข้ามา ถ้าใจมันสงบเข้ามา เราจะค้นคว้าของเราแล้ว ถ้าเราค้นคว้า จิตมันสงบแล้ว ถ้าจิตสงบ นี่ไง ที่ว่าให้ธรรมเป็นทานๆ ถ้าให้ธรรมเป็นทานแล้ว เราศึกษาสัจธรรมอันนั้นมา คือทางวิชาการอันนั้น แล้วถ้าเรามาทำของเราไง เรามาทำของเรา ถ้าเราทำของเรา

หัวใจเรียกร้องความช่วยเหลือ ความทุกข์ความยากของหัวใจเรียกร้องสัจธรรมๆ ถ้าสัจธรรมที่เราไปศึกษามานั่นมันชื่อของมัน นั่นมันชื่อของมัน นั่นคือทางวิชาการที่ชี้เข้ามาในหัวใจนี้ ฉะนั้น ชี้เข้ามาในหัวใจนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์นะ “อานนท์ เธอบอกบริษัท ๔ เถิด ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด”

หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ นั่นน่ะมันจะได้มีสัจธรรมความจริงขึ้นมา ถ้ามีสัจธรรมขึ้นมา คุณธรรมอันนั้นมันจะเข้าไปในหัวใจ “ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด ปฏิบัติบูชาเราเถิด”

ทีนี้เวลาเราอยู่ทางโลก ในเมื่อหัวใจของเราเป็นโลก หัวใจของเราเป็นโลกมันก็เอารัดเอาเปรียบ มันบีบบี้สีไฟ มันเบียดเบียนหัวใจเรา กิเลสมันเบียดเบียนหัวใจเรา ฟังธรรมๆ ก็เพื่อความปลอดโปร่ง เพื่อความปลอดโปร่ง เพื่อจิตใจเป็นสาธารณะ จิตใจยอมรับเหตุรับผล ถ้ายอมรับเหตุผล นี่ความดีทางโลก

โลกเขาขวนขวายกัน เขาทำคุณงามความดีกัน มันเป็นความดี ใช่ มันเป็นความดี เรามีกตัญญูกตเวที เราระลึกถึงกัน เป็นความดีทั้งนั้นน่ะ นี่บุญกุศล บุญกุศลเป็นอามิสทำให้เกิดในวัฏฏะ เวียนว่ายตายเกิดในทางที่ดี

บาปอกุศล ทำสิ่งใดก็แล้วแต่ ทำเพื่อเอารัดเอาเปรียบเขา เพื่อเหยียบย่ำเขา ทำลายเขา เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ของเราคนเดียว เวลาตายไปแล้วตกนรกอเวจีไป เวลามันเป็นเรื่องของบุญกุศล มันเป็นเรื่องของอามิส ทำคุณงามความดี ความดีก็เป็นความดีทางโลก

ถ้าความดีของเรา ความดีเรามีสติมีปัญญา มีสติปัญญารู้เท่าทันความคิดของตน ถ้ารู้เท่าทันความคิดของตน นี่ความดีของเรา

เวลาเราทำบุญกุศล เราอุทิศส่วนกุศลให้ปู่ย่าตายายของเรา ให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้สิ่งที่ผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก ขอให้มีความสุขๆ เถิด สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลาย จงมีความสุขๆ แล้วสัตว์ตัวเราล่ะ สัตว์ในหัวใจเราล่ะ ที่หัวใจมันติดข้องอยู่นี่ล่ะ เราก็อุทิศส่วนกุศลให้คนอื่นหมดแล้ว เราก็ได้ทำบุญกุศลมามหาศาลแล้ว แต่ทำไมใจเรามันยังดิ้นรนอยู่นี่ล่ะ ถ้ามันดิ้นรน เราจะทำของเราเองแล้ว เราจะมีคุณธรรมในหัวใจของเรา ถ้ามีคุณธรรมในหัวใจของเรา ถ้ามีสติปัญญาอย่างนี้มันเห็นคุณค่า พอเห็นคุณค่า เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา

เวลาทำบุญกุศล เราต้องหาปัจจัยเครื่องอาศัยมาเพื่อเสียสละ เสียสละให้เป็นการแสดงออกของน้ำใจ ใจมันได้เสียสละออก นั่นเป็นปฏิคาหก ผู้ให้ให้ด้วยความบริสุทธิ์ ขณะให้ ให้แล้ว ผู้รับรับด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ของท่าน ปฏิคาหก เราได้ทำสมบูรณ์ของเราแล้ว ถ้าทำสมบูรณ์ของเราแล้วมันปลอดโปร่ง มันคิดว่าจะทำให้ดีขึ้นไปกว่านี้

ถ้าดีขึ้นไปกว่านี้นะ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ นี่คำบริกรรม เราปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ถ้าเราปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต พอจิตมันสงบเข้ามา มันมหัศจรรย์ มหัศจรรย์จิตของเราเอง นี่ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ทั้งๆ ที่มันมีอยู่กับเรามาตั้งแต่ต้น มันมีอยู่กับเรามาตั้งแต่ปฏิสนธิในไข่ ในครรภ์ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ ตั้งแต่มันเกิด

ถ้ามันไม่เกิดมันก็มีของมันอยู่แล้ว มันมีของมันคือมันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แต่มันไปเกิดในสถานะของอะไรล่ะ มันเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นอะไร นี่มันมีของมันอยู่แล้ว แต่กิเลสมันครอบงำ หัวใจเรานี่แหละ หัวใจเรานี่แหละที่ว่าให้ธรรมเป็นทานๆ ให้ธรรมเป็นทานคือให้สงสารตัวเอง ให้สงสารหัวใจของตัวเอง ให้สงสารเรานี่ ถ้าสงสารเรา กิเลสมันปิดหูปิดตา พยายามขวนขวายอยู่เพื่อปรนเปรอมัน แล้วเวลาทำบุญกุศลก็เพื่อบุญกุศล เพื่อบุญกุศลมันก็เป็นอามิส เป็นอามิสมันเป็นวุฒิภาวะที่เริ่มฝึกหัด

พอฝึกหัดขึ้นมาแล้ว เวลาทางวิทยาศาสตร์ “เราต้องขวนขวายขนาดนี้เชียวหรือ ทำบุญกุศลขนาดนี้”

นั่งเฉยๆ นั่งเฉยๆ หายใจเข้านึกพุท นั่งเฉยๆ หายใจออกนึกโธ มันพัฒนาขึ้นแล้ว จากที่เป็นวัตถุมันก็เป็นนามธรรม จากที่เป็นนามธรรมนะ มันมีพุทธานุสติ มันเกาะไว้ จิตต้องเกาะไว้ จิตของเราแท้ๆ เลย แต่มันพึ่งตัวมันเองไม่ได้ แล้วมันให้กิเลสมันหลอก ไอ้นู่นก็ดี ไอ้นี่ก็ดี ไปข้างหน้าจะดี ไปที่นู่นจะดี มันไปหมดเลย

เราบริกรรม ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แก้วสารพัดนึก เราพยายามบริกรรมหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ นี่มันเกาะ นี่ไง เป็นชื่อขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระลึกถึงพ่อถึงแม่ของเรา เราจะซื้อของไปฝากพ่อฝากแม่ของเรา แต่เรายังกลับไม่ถึงบ้านของเรา เราก็ไม่มีโอกาสเอาของนั้นฝากยื่นใส่มือพ่อแม่เรา

นี่ก็เหมือนกัน พุทธะ พุทโธ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ คำบริกรรม เราจะไปบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เรายังไม่เข้าไปถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ยังไม่เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ระยะเดินทางของจิต จิตมันจะเดินทางเข้าไปสู่ใจของเราเอง พอเข้าไปถึงใจ ไปถึงตัวของพุทธะ คำบริกรรมนั้นจะหายไป นี่ไง เราจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เราซื้อของไปฝากพ่อแม่ของเรา เรายังไม่ถึงพ่อแม่ของเรา เราระลึกถึงพ่อแม่ของเรา เดี๋ยวให้พ่อแม่เรา พ่อแม่จะดีใจ เดี๋ยวไปให้พ่อแม่ พ่อแม่จะชื่นใจ พ่อแม่จะคิดถึงเรา โอ๋! เป็นลูกที่ดี พอไปยื่นให้พ่อแม่ น้ำตาไหล มีแต่ความสุข กอดคอกันร้องไห้

นี่ก็เหมือนกัน พุทโธๆๆ จะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา เวลาเข้าไปถึงนะ มันแปลกประหลาดมหัศจรรย์ พอแปลกประหลาดมหัศจรรย์ มันถึงบอกว่า เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ บุญกุศลจะมีหรือเปล่านรก สวรรค์จะมีหรือเปล่า มรรคผลนิพพานจะมีหรือเปล่า สงสัยไปหมด

แต่พอเข้าไปถึง พอเข้าไปถึงพุทธะ ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต มันมั่นใจเลย อ๋อ!

นี่ไง ที่บอกว่าเกิดมา นาย ก. นาย ข. นาย ง. ก็เป็นที่ทะเบียนบ้าน ทะเบียนบ้านเราก็ลงทะเบียนบ้านว่าเรานับถือศาสนาพุทธ แล้วนับถือศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธสอนอย่างไร

“ไม่รู้”

พอพูดถึงอริยสัจ พูดถึงทุกข์ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี่พูดถึง เราก็พูดกันไป ศึกษามา ศึกษามาก็ชื่นใจชื่นบาน เพราะมันเป็นการศึกษา มันมีความรู้ มีองค์ความรู้ มีองค์ความรู้ก็ถือตัวถือตน อีโก้มันก็ใหญ่ขึ้น ยิ่งศึกษามากเท่าไรยิ่งมีปัญญามาก ยิ่งมีปัญญามากเท่าไร ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กิเลสเอาไปใช้ก็มาเหยียบย่ำตัวเอง เหยียบย่ำตัวเองก็คือมันไม่เห็นพุทธะ มันไม่เห็นตัวของเราเอง

ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศึกษามาเป็นปัญญา ศึกษาเป็นแนวทางแล้ววางไว้ นี่เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเราจะทำขึ้นมา สติก็เป็นสติของเรา มีสติแล้วมันระลึกได้ก็ระลึกพุทโธได้ ถ้ามีสติ มันใช้ปัญญาอบรมสมาธิได้ พอมันพิจารณาของมันด้วยการกระทำของเรา ด้วยการกระทำของเรา

ที่ศึกษามา ศึกษาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา กิเลสมันเอามาอ้างอิงว่ามันมีความรู้ แต่เวลาเป็นความจริงขึ้นมา ตัวมันรู้ ตัวมันรู้ พอตัวมันรู้ นี่ไง นรกสวรรค์จะมีหรือไม่มี ก็ไอ้ตัวนี้แหละมันจะไปนรกไปสวรรค์ ไอ้ตัวนี้ที่มันตัวเกิด ไอ้ตัวนี้มันเป็นตัวจะรู้ มันจะซาบซึ้งที่ว่านรกสวรรค์มีหรือไม่มี มรรคผลนิพพานมีหรือไม่มี เพราะอะไร

เพราะถ้าเข้าไปถึงพุทธะ แก้วสารพัดนึก นึกอะไรล่ะ มันก็วางหมด วางหมดมันก็ปลอดโปร่ง ปลอดโปร่งก็เป็นตัวจริงของมัน แล้วเป็นตัวจริงจริงๆ ด้วย ตัวจริงที่เป็นปัจจัตตังด้วย ตัวจริงที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ต้องบอกด้วย ตัวจริงที่ไม่ต้องให้ใครมายืนยันด้วย มันเป็นตัวจริงที่มันเห็นของมันเองไง

นี่ไง การแสดงธรรมๆ ฟังธรรมๆ ฟังเพื่อเหตุนี้ ทำได้จริงมันเป็นจริงๆ ถ้าทำยังไม่จริงก็ฟังไว้ ฟังไว้เป็นแนวทาง ฟังไว้เป็นสิ่งที่เราจะขวนขวายของเรา นี่ไง ให้ธรรมเป็นทานๆ สัจธรรม ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นความจริงของเรา ถ้าเป็นความจริงของเรา “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” แล้วถ้าเป็นความจริงอันนี้ขึ้นมา แล้วมันไม่สงสัยสิ่งใด ถ้าความไม่สงสัย ไม่สงสัยเรื่องมรรคเรื่องผล ถ้าไม่สงสัยเรื่องมรรคเรื่องผล ไม่สงสัย แต่ที่มันเป็นจริง มันเป็นจริงมากน้อยขนาดไหน คุณธรรมมีมากน้อยขนาดไหนมันก็รู้ได้มากขนาดนั้น

บุคคล ๔ คู่ ถ้าใครจิตใจที่สูงส่งกว่า มันจะดึงจิตใจที่ต่ำกว่า เราอยู่ที่ต่ำกว่า เราอยู่เบื้องล่าง เราจะไม่รู้ว่าข้างบนจะมีอะไรบ้าง แต่คนที่อยู่ข้างบน ข้างบนเขาก็รู้ของเขาแล้ว แล้วเขากว่าจะขึ้นข้างบนได้ เขาต้องผ่านจากข้างล่างขึ้นมา แล้วคนที่จะผ่านขึ้นมา เขาจะรู้ว่าจิตใจมันจะผ่านประสบสิ่งใดบ้าง

ถ้ามันยังไม่ผ่านสิ่งใด นี่มันกระโดดข้ามมาเลย กระโดดข้ามมามันเป็นกิเลส ทางลัดๆ นะ กระโดดข้ามมาเดี๋ยวก็ต้องกระโดดกลับไป กระโดดขึ้นมาแล้วมันไม่มีที่พัก กระโดดขึ้นไปแล้วก็ไปอยู่บนอากาศ มันก็ลอยละลิ่ว เดี๋ยวก็ตกมา ตุบ!

กระโดดขึ้นไปไม่ได้ มันต้องเป็นสัจจะความเป็นจริงขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา มันจะมีคุณธรรมของมันขึ้นมา ถ้าทำขึ้นมาแล้ว จิตใจที่ขึ้นมาแล้วเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกขึ้นมา มันจะสัจธรรมอันนี้ ฉะนั้น สัจธรรมอันนี้ ถ้าจิตมันสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา วิปัสสนานั้นคือวิปัสสนาปัญญาให้การรู้แจ้งในใจของตน

อวิชชาคือความไม่รู้ คือความมืดบอดของจิต เพราะมันมืดบอดมันถึงเวียนว่ายตายเกิด เพราะมันมืดบอดมันถึงกลิ้งไป ถ้ามันสว่างแล้วมันจะไปทำไม ไม่ไปแล้ว ไม่ไป แล้วไม่ไป อยู่ตรงไหนล่ะ

ไม่ไปก็มีอกุปปธรรม มีคุณธรรมอันนี้รองรับไว้ ถ้าจิตใจมีตรงนี้รับไว้นะ มันจะเห็นความแตกต่าง ดูสิ ดูขยะอวกาศ มันอยู่ในอวกาศ ไม่มีแรงดึงดูด แต่ถ้ามันเข้ามาในวงจรของโลก โลกดูดเข้ามาตกในโลกเลย

แรงดึงดูดของกิเลสไง แรงดึงดูดของอวิชชา เราไม่รู้เรื่อง มันดูดมาไว้บนหัวใจนี้หมดเลย แล้วเราประพฤติปฏิบัติเป็นอกุปปธรรม มันไม่มีแรงดึงดูด มันสละ มันคายออก มันเป็นอิสรภาพทั้งหมด ถ้าเป็นอิสรภาพทั้งหมด นี่คุณธรรม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด

ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า ไม่มีศาสดาในลัทธิไหนประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์ต่อปัญจวัคคีย์เลย “ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ เดี๋ยวนี้รู้แล้ว จงเงี่ยหูลงฟัง” นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์ ลัทธิศาสนาอื่นไม่เคยบอก เพราะเขาไม่กล้าบอก ถ้าบอกแล้วลูกศิษย์ถามแล้วตอบไม่ได้ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ประกาศ เทวดา อินทร์ พรหมมาถามปัญหาได้ตลอด ถามได้ทั้งนั้น เพราะอะไร เพราะรู้จริงไง เพราะรู้จริงรู้ที่ไหน รู้จริงรู้ขึ้นมาจากใจของเรา

ฉะนั้น หัวใจของเรา เรามีศรัทธามีความเชื่อ ฟังธรรมๆ ให้มั่นคง ในเมื่อจิตใจของเรามีวุฒิภาวะขนาดไหน เราพยายามรักษาหัวใจของเราไว้ให้มันมั่นคงของเรา เราจะเดินหน้า เราจะไม่ถอยหลัง เราพยายามทำหัวใจของเราให้มีที่พึ่ง

เรื่องของร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วยไปหาหมอ เรื่องของจิตใจ เราต้องมีสติมีปัญญารักษาของเรา ไม่มีใครดูแลรักษาให้เราได้ เราต้องมีสติปัญญารักษาหัวใจของเรา เอวัง